วันนี้เป็นคาบของอาจารย์ปีเตอร์ อาจารย์จะพูดถึง Enterprise Systems ซึ่งมี อยู่ 4 อย่างด้วยกัน วันนี้อาจารย์จะพูด 2 อย่างและคราวหน้าอีก 2 อย่าง อาจารย์พูดถึงระบบสารสนเทศภายในองค์กรที่เคยเรียนไปแล้ว (แบ่งเป็น 5 ขั้น) โดยแต่ละฝ่ายภายในองค์กรจะมีระบบของตนเองเนื่องจากมีความต้องการที่แตกต่างกัน แล้วมีความคุ้มค่าในการลงทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งบางครั้งอาจจะคิดค่าออกมาเป็นตัวเลขได้ยากเพราะไปช่วยให้การทำงานดีขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยสร้างให้ผลประกอบการดีขึ้นโดยตรง
ระบบ Enterprise Systems จะเป็นระบบที่มีความเป็นมาตรฐาน ทำให้แต่ละองค์กรสามารถพูดคุยในภาษาเดียวกัน แตกต่างจากระบบต่างๆ ภายในองค์กรที่มีความแตกต่างซับซ้อนไปตามความต้องการของผู้ใช้
อุปสรรคของการนำ Enterprise Systems มาใช้ในองค์กร
จะเห็นว่า ระบบ Enterprise Systems เป็นระบบที่ดี แต่ทำไมองค์กรถึงไม่นิยมนำมาใช้ มีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้
- ระบบยังมีราคาแพง
- บางองค์กรยังมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะใช้ระบบ
- ผู้ทำงานไม่อยากที่จะนำระบบใหม่มาแทนระบบเดิมของตนเองที่ทำมาเป็นเวลานานแล้ว
- ช่วยให้การทำงานระหว่างระบบต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น, พนักงานสามารถค้นหาข้อมูลเพื่อให้บริการลูกค้าได้ทันที, พนักงานจัดซื้อสามารถรับทราบถึงความต้องการของวัตถุดิบที่ต้องการในเวลาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น
- ช่วยให้การ outsource ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีระบบข้อมูลที่ดี ทำให้การติดต่อระหว่าง supplier ในประเทศต่างๆ รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ระบบที่จะเรียนมีทั้งหมด 4 ระบบ คือ
ERP : Enterprise Resource Planning
CRM : Customet Relationship Management เป็น software ที่ใช้ดูแลลูกค้า
KM : Knowledge Management Systems เป็นระบบที่ใช้รวบรวมความรู้ภายในองค์กร
SCM : Supply Chain Management Systems เป็นการดูระบบและ flow การทำงานภายในองค์กร ตั้งแต่ Supplier ไปจนถึงลูกค้า
และยังมีระบบอื่นๆ เพิ่มเติมอีกเช่น
DSS : Decision Support Systems เป็นระบบขข้อมูลที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจของระดับจัดการ
Intelligence Systems เป็นระบบสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร
BI : Business Inteeligenve เป็น software หรือเทคนิคที่ใช้หาข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ใน Data Warehouse รวมไปจนถึง text mining
Supply Chain Management Systems
เป็นกระบวนการตั้งแต่ที่บริษัทได้รับวัตถุดิบมาจาก Supplier ซึ่งอาจมี Supplier มากกว่า 1 รายและมีมากกว่า 1 ขั้น (Sup supplier) ไปจนถึงการที่บริษัทส่งสินค้าไปจนถึงลูกค้า โดยระบบสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทช่วยให้ข้อมูลมีการ Flow ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การจัดการภายใน Supply Chain มีความราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ระบบย่อยๆ ที่ใช้ภายใน Supply Chain มีดังนี้
Warehouse Management System (WMS) เป็นระบบที่ใช้ในการจัดการคลังสินค้า ว่าจะมีการจัดการอย่างไรให้สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการจัดการว่าของชิ้นไหนต้องไปวางอยู่ที่ไหนของคลังสินค้า และมีระบบเก็บข้อมูลว่าของแต่ละชิ้นอยู่ส่วนไหนของคลังสินค้า
Inventory Management System (IMS) เป็น Software ที่ใช้ในการจัดการสินค้าคงคลัง เป็นโปรแกรมที่ใช้จัดเก็บข้อมูลของสินค้าที่มีทั้ง
หมด
Fleet Management System เป็นระบบที่ใช้ช่วยติดตามว่าการขนส่งสินค้า ณ จุดใดๆ มีสินค้าอยู่จำนวนเท่าใด ทำให้สามารถติดตามได้ว่าส่งของ ณ ที่ไหนจำนวนเท่าไหร่ และยังช่วยให้สามรถติดตามได้ว่า ขากลับจะขนสินค้าอะไรกลับมา และส่งข้อมูลกลับมาถึงภายในสำนักงานเพื่อรายงานการขนส่งสินค้าที่รวดเร็ว
Vehical Routing and Planning เป็นระบบที่ใช้ในการวางแผนเส้นทางในการขนส่งสินค้า เพื่อให้มีเส้นทางที่สั้นที่สุด และประหยัดมากที่สุด
Vehical Based System เป็นระบบติดตามรถขนส่ง เช่นรถทัวร์ จะมี GPS ติดตามว่ารถถึงที่ไหนแล้ว เพื่อเป็นการตรวจสอบ
10 Trend for logistics Supply Chain Management
1.Connectivity เช่น Bluetooth, GRPS, 8.02.11n (เป็นระบบคล้าย wifi แต่มีความแรงกว่า มีความเร็วประมาณ 600 Mbit/s เร็วกว่าเนทของบ้านเราประมาณ 10 เท่า)
2.Advanced Wireless :Voice & GPS คือ wireless ที่เป็นแบบ advance มีการใช้เสียง ซึ่งจะพบอยู่บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ขนาดเล็ก สามารถพกพาได้
3.Speech Recognition เป็นการสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องมีอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า และมีจอคอมพิวเตอร์อีกต่อไป สามารถสั่งงานด้วยคำพูดของคนได้เลย
4.Digital Imaging เป็นการประมวลผลภาพดิจิตอล ซึ่งสามารถเชื่อมต่อได้อย่างรวกเร็ว (เก็บข้อมูลด้วยอุปกรณ์พกพาต่างๆ)
5.Portable Printing เป็นการพิมพ์ที่สามารถพกพาได้ ทำให้สามารถช่วยให้มีการออกใบคำสั่งซื้อ ใบเสร็จต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
6.2D & other barcoding advances เป็นบาร์โค้ด 2 มิติ เช่น QR Code
7.RFID เป็นชิพตัวเล็กๆ ฝังอยู่ในแถบสินค้า หรือทำเป็นบัตร ซึ่งสามารถส่งสัญญาณออกมาด้วยตัวเองได้ เช่น บัตรทางด่วน easy pass, tag ในคลังสินค้า
8.Real Time Location System: RTLS ระบบแสดงตำแหน่งในเวลาจริง ทำให้ติดตามการเคลื่อนที่ของสินค้าภายในคลังสินค้าได้ว่ากำลังเคลื่อนที่ไปที่ไหนได้ ซึ่งขยายผลไปสู่เรื่องการติดตามสินทรัพย์ได้
9.Remote Management การจัดการทางไกล เป็นระบบที่คอยควบคุมจากระยะไกลได้ โดยใช้ wireless LAN เข้ามาช่วย
10.Security เป็นเรื่องความปลอดภัยของระบบไร้สาย เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลขององค์กร
Supply Chain Management สำคัญตรงที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการแบ่งปันข้อมูลแก่กัน เพื่อให้การจัดการสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องและถูกต้อง รวมทั้งการแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างองค์กร ซึ่งต้องอาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ระบบ Supply Chain ที่ดี ช่วยให้
- สามารถประมาณการความต้องการของลูกค้าได้
- สามารถวางแผนการผลิตได้
- ทำให้การเก็บสินค้าคงคลังลดลง
- การขนส่งก็มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ลดความเสี่ยง ความไม่แน่นอน
- เพิ่มขีดความสามารถของบริษัท ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น
เป็นระบบที่ทำให้องค์กรมีฐานข้อมูลร่วมกัน สามารถแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรได้
Integrate Business Functionality
- สามารถรวบรมข้อมูลต่างๆ มารวมกันวิเคราะห์ได้
- ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ERP : Enterprise Resource Planning Systems
ปกติบริษัทจะซื้อเป็นส่วนๆ ของแต่ละฝ่าย ไม่ซื้อทั้งหมด เพราะว่าแพง และการนำเอา ERP เข้ามาใช้ในบริษัทมักไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการนำเข้ามาใช้นั้นเป็นการทำงานผู้ใช้เดิมต้องทำงานในระบบใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่ม และในระดับเริ่มแรกของการใช้ระบบ ก็จะต้องใช้คู่กับระบบเดิมที่มีอยู่ ทำให้พนักงานในองค์กรมีงานเพิ่มขึ้นจากเดิม จึงไม่ค่อยมีใครต้องการที่จะใช้ระบบใหม่ที่ดีกว่านี้ ตัวอย่างของ ERP เช่น SAP เป็นของบริษัทเยอรมันเป็นผู้ผลิต, Oracle, PeopleSoft เป็นต้น
Major ERP Modules
- Sales and Distribution (Records customer orders, shipping, billing, connections, based on SAP)
- Material Management
- Financial Accounting
- Human Resources (Recruiting, payroll)
- Third-Party (CRM, Customer Self-Service, Sales Force Automation)
ขึ้นอยู่กับบริษัทว่าต้องการใช้มากน้อยแค่ไหน และมีทรัพยากรมากพอหรือไม่ แต่ส่วนมากจะเช่า ซึ่งตอนนี้ก็มีการพัฒนาระบบใหม่ขึ้นมา เช่น Clound computing ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกระยะเวลาที่ต้องการได้ ไม่ต้องซื้อแล้วเอามาใช้แค่ช่วง peak 2 เดือนต่อปี ทำให้สามารถประหยัดงบประมาณไปได้เยอะ
IT Hype
1.Augmented Reality
เป็นเทคโนโลยีเสมือนจริงที่เอามาผนวกเข้ากับเทคโนโลยี Software และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ
กระบวนการภายใน 3 กระบวนการ
1.การวิเคราะห์ภาพ โดยวิเคราะห์และสิบค้นจากข้อมูลจากฐานข้อมูล
2.คำนวณตำแหน่งเชิง 3 มิติ
3.สร้างภาพ 2 มิติ
องค์ประกอบ
1.marker เป็นรูปภาพ หรือ สี ก็ได้ แต่ส่วนมากจะเป็นขาวดำ เพราะง่ายต่อการจับภาพมากกว่า
2.กล้อง
3.จอแสดงผล
4.software ซึ่งเป้นส่วนประมวลผล
ใช้ในอะไรบ้าง
- โทรศัพท์มือถือ ต้องมีกล้อง GRPS ต่อเนทได้
- แมกกาซีน
- แสดงการสาธิตการใช้สินค้า โดย IKEA และ Shisedo ใช้
- สร้างประการณ์ที่แปลกใหม่
- ค้นหาตำแหน่งและรายละเอียดของสินค้าได้ชัดเจน
- สร้างแคมเปญง่าย
- เพิ่มโอกาสทางการตลาด
- ไม่เหมาะกับคนที่ไม่รู้เทคโนโลยี
- เข้าถึงได้จำกัด
- ขาดการสนับสนุนจากรัฐบาล
ระบบปฏิบัติการในมือถือ เป็นตัวที่บอกว่ามือถือเราใช้ App อะไรได้บ้าง มีหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูล, แสดงผลบนหน้าจอ
ตัวอย่าง
1.Symbian OS
ถูกพัฒนามาเป็น 10 ปีแล้ว และมีคนร่วมพัฒนาเยอะมาก มีมือถือหลายยี่ห้อที่ใช้ได้ และปัจจุบันเป็น open source
2.BlackBerry OS
ตอนแรกส่วนมากใช้ในองค์กร ใช้ E-mail push ภายหลังจับกลุ่มเป็ยวัยรุ่น เน้นการ chat
3.iPhone OS
พัฒนาโดย apple ใช้งานง่าย และดูหวือหวา มีระบบ Multi- touch มีจุดเด่นที่ความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม แต่ไม่รองรับ flash และเป็นระบบปิด การ download file ต้องผ่าน itunes
4.Window Mobile OS
พัฒนาโดย Microsoft หน้าตาคล้าย Window บนคอม มีจุดเด่นคือ มี Microsoft Office เป็นระบบปิด ทำให้การพัฒนาต่อยอดได้ยาก
5.Android
พัฒนาโดย google ร่วมกับหลายคน เป็นน้องใหม่ที่พัฒนามาจาก Linux เป็น open source ทำให้มีคนเข้ามาช่วยพัฒนาระบบจำนวนมาก มีแนวคิดที่จะพยายามนำ google ต่างๆ เข้ามาร่วมกับมือถือ แต่ยังมีปัญหาทางเทคนิคอยู่มาก
3.Video Telepresence
เป็นระบบที่พัฒนามาจากระบบ Video Conference แต่เสมือจริงมากกว่า
สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์เสมือนจริงมากกว่าคือ
1.ระบบเสียงคมชัด
2.ระบบภาพคมชัด เท่าตัวคนจริง และไม่ delay
3.ระบบไม่สลับซับซ้อน
4.ความน่าเชื่อถือสูง ผู้ให้บริการทุกรายจะตรวจสอบเสมอ เพื่อให้เสถียร
5.สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยม
ข้อจำกัด
- ด้านต้นทุน เพราะห้องที่สมบูรณื 1 ห้องจะใช้เงินประมาณ 3-4 ล้าน และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงด้วย
- ด้านสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ไม่โครโฟน จะต้องอยู่ในที่ที่ถูกต้อง
1.ด้านการประกอบธุรกิจ มีผู้ให้บริการเช่าห้องประชุมทางไกล และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
2.ด้านการศึกษา เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงการศึกษา
3.ด้านการแพทย์ ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างแพทย์เมืองใหญ่และเมืองเล็ก
ในไทยจะพบในบริษัทข้ามชาติ เช่น P&G แต่สัญชาติไทยคือ ปตท.
4.SOA
เป็นแนวคิดการออกแบบและวางโครงสร้างของ software ขององค์กรขนาดใหญ่ โดยให้ผู้ใช้สามารถเลือกเฉพาะบริการที่ต้องการได้
ประโยชน์
1.ทำให้สามารถเชื่อมโยงธรุกิจระหว่างองค์กรได้ง่ายมากขึ้น
2.ทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านไอทีและค่าใช้จ่ายในการรบำรุงรักษาลง เพราะไม่ยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น