วันนี้อาจารย์พูดถึงเรื่อง E-Business และ E-Commerce ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการขายของทาง Internet เพียงอย่างเดียว แต่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันด้วย ทำให้ IS มีบทบาทมากยิ่งขึ้น
อาจารย์ยกตัวอย่างถึงเคสของ Dell, Ebay และ Amazon ที่ปรับ Business Model จากการขายสินค้าทางหน้าร้าน เป็นการขายสินค้าบน Internet แทน ซึ่งจะช่วยทำให้สามารถมีสินค้าที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้จำนวนมากขึ้น ทำให้ไม่เสียโอกาสในการขายอย่างเดิม ซึ่งตัวอย่างทั้งสามดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ IS ที่เข้ามาช่วยให้ลดต้นทุนในการสต็อกสินค้าลง และยังทำให้มีสินค้าให้ลูกค้าเลือกมากขึ้น ส่งผลให้องค์กรมีรายได้เพิ่มขึ้น
ประโยชน์ของ E-Business และ E-Commerce
- Organization ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร เช่น จากเดิมที่เคยขายได้แค่ในประเทศไทย ก็สามารถขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศได้
- Customer ช่วยทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกของสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงและจำนวนมากขึ้น
- Society ช่วยให้องค์กรสามารถขายสินค้าในราคาที่ถูกลงได้ ทำให้ประชาชนสามารถซื้อของได้ในราคาที่ถูกลง มีเงินเหลือสำหรับจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อจำกัดของ E-Business และ E-Commerce
- Technological ด้านเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีที่ใช้แตกต่างกัน ยังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ทำให้บางครั้งการติดต่อซื้อขายไม่สามารถทำได้
- nontechnological ด้านอื่นนอกเหนือจากเทคโนโลยี เช่น เรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ซื้อ ที่ใช้บัตรเครดิต
IS Major E-Commerce Mechanisms
พูดถึงการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์กับการทำธุรกิจ โดยมีตัวอย่างดังนี้
1. Social Commerce คือ การที่คนเข้าไปแนะนำสินค้าให้เพื่อน ซึ่งจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาทีวีแบบเดิม
2. Electronic Catalogs คือ แคตตาล็อกสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดทำแบบนี้ เนื่องจากยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังเคยชินกับการเลือกสินค้าจากรูปแบบนี้
3. Electronic Malls คือ ห้างเสมือนที่ทำขึ้นมาเพื่อให้การซื้อสินค้าบน Internet นั้นคล้ายกับการซื้อสินค้าในโลกความจริงมากที่สุด โดยบางที่ทำเป็น Virtual life เลย
4. Online Job Market คือ การสมัครงานทางออนไลน์ ซึ่งสร้างความสะดวกให้แก่ผู้ใช้เป็นอย่างมาก
5. Travel Services คือ การให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบน Internet เช่น การจองห้องพักผ่าน Website
6. E-Government คือ การที่ส่วนราชการใช้ Internet และ Website เข้ามาช่วยในกระบวนการติดต่อต่างๆ เช่น ระบบการจ่ายภาษีของประชาชน หรือการประมูลงานของรัฐ
หลังจากนั้น เพื่อนก็ออกมานำเสนอ IT Hype โดยเนื้อหาในวันนี้มี 3 เรื่องคือ
Cloud Computing
เป็นระบบที่อยู่บนเครือข่าย Internet ที่ให้บริการด้านการทำงานต่างๆ โดยผู้ใช้ไม่ต้องมีเทคโนโลยี หรือโปรแกรมต่างๆ เอง สามารถใช้ผ่านระบบนี้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนระบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการได้อีกด้วย
ระบบนี้แบ่งออกเป็น 5 อย่างคือ
1. On-demand self-seveice ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
2. Broad network access (Internet)
3. Resource pooling : location independent
4. Rapid elasticity ผู้ใช้สามารถปรับเพิ่มลดขนาดของการทำงานได้ตามความต้องการ
ข้อดี
- cost savings ลดต้นทุนในการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี เนื่องจากสามารถใช้เทคโนโลยีต่างๆ จากระบบนี้ได้
- Scalability สามารถกำหนดขอยเขตได้ตามความต้องการ และยังปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
- Access to top-end IT capabilities ทำให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรด้าน IT ที่ดีได้ โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนจำนวนมาก
- Focusing on core competencies ทำให้องค์กรสามารถใช้ทรัพยากรที่มีไปลงในสิ่งที่เป็นความสามารถหลักขององค์กรได้ ไม่ต้องแบ่งมาลงทุนด้าน IT
- Efficient asset utilization ทำให้สามารถใชทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ไม่ต้องลงทุนกับ IT จัดการทรัพยากรที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุด)
- Privacy and security เพราะว่าเราจะฝากข้อมูลไว้ให้คนอื่นเก็บ ทำให้อาจมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลขององค์กรที่อาจรั่วไหลได้
- Non-standard platform ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน เพราะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละองค์กร
- Reliability ความมั่นคงขององค์กร เพราะถ้าระบบล่ม องค์กรจะทำอย่างไร จะทำงานต่อไปอย่างไร
- Portability สามารถใช้ได้สะดวก เพียงแค่เชื่อมต่อเข้าสู่ Internet ก็สามารถทำงานได้แล้ว
Health Informatics
คือการนำข้อมูลด้านสุขภาพมาเชื่อมต่อเข้ากับระบบสารสนเทศเพื่อให้สามารถจัดการได้ดีขึ้น
แบ่งเป็น 5 ด้านคือ
- ข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม เช่น ข้อมูลประชากร, การศึกษา สังคม การเมือง
- ข้อมูลด้านสุขภาพ คือ ข้อมูลด้านสุขภาพของแต่ละคน
- ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข เช่น ข้อมูลจำนวนทรัพยากรด้านนี้ การเงิน ครุภัณฑ์ต่างๆ
- ข้อมูลด้านกิจกรรมสาธารณสุข เช่น ข้อมูลการส่งเสริมสุขภาพต่างๆ การป้องกันโรค
- ข้อมูลด้านการจัดการ เช่น ข้อมูลที่ใช้ในการวางแผน วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ
- ทำให้การบริการดีขึ้น
- ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
- ช่วยในการวางแผนการทำงานต่างๆ
Web 2.0
คือ Website ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีลักษณะสำคัญ 7 ประการ คือ
- Network as platform สามารถใช้ช่องทางผ่าน Web Browser ได้
- ผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของข้อมูลสามารถดำเนินการกับข้อมูลนั้นได้
- ทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากขึ้น
- มี User interface ที่เหมือนกับ desktop mให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
- สามารถโต้ตอบกันได้
- มีความรวดเร็วและง่ายในการส่งข้อมูลมากขึ้น
- มีการเอา Function ใช้งานจากหลายเว็บรวมเข้าด้วยกัน
Web 1.0 จะเป็นเหมือนการสื่อสารทางเดียว คือเจ้าของเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใส่ข้อมูลลงในเว็บนั้นได้ แต่ Web 2.0 ทั้งเจ้าของและผู้ใช้สามารถโต้ตอบกันได้
เทคโนโลยีที่ Web 2.0 ใช้
- AJAX (Asynchronous JavaScript and XML) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คั่นกลางระหว่าง Browser กับผู้ใช้เพื่อให้ Web สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ทันที
- SaaS (Software as a service) เป็นการให้บริการ software ผ่านหน้า ซึ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้มากขึ้น คือ ไม่ต้องโหลดโปรแกรมมาลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถใช้ได้บนเครือข่ายเลย
- RSS (Really Simple Syndication) เป็นตัวช่วยในการบอกว่า Content ไหนมาใหม่
ตัวอย่าง Web 2.0 เช่น Facebook, Myspace, Youtube เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น